ถ้าหากย้อนกลับไปในสมัยคุณพ่อคุณแม่หรือคุณตากับคุณยายยังหนุ่มสาว เราอาจจะเคยสงสัยหรือเคยถามพวกท่านว่า รู้จักกันหรือจีบกันได้อย่างไร แน่นอนว่าพวกท่านไม่มีแอพพลิเคชั่นน่ารักๆ ไว้ส่งข้อความดุ๊กดิ๊กหรือส่งสติ๊กเกอร์ไลน์หากัน แล้วพวกท่านทำอย่างไรล่ะ
การส่งข่าวหรือข้อมูลหากันในยุคนั้นอาจเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยากและใช้เวลาอยู่พอสมควร ไม่รวดเร็วและทันใจอย่างในทุกวันนี้ สมัยนั้นการสื่อสารที่แพร่หลายเลยคงหนีไม่พ้นจดหมายซองน้อยๆ ที่จะมีสุภาพบุรุษเจ้าประจำค่อยปั้นจักรยานนำมาส่งให้ถึงหน้าบ้าน อัตราค่าบริการก็เพียงแค่ไม่กี่สลึงจนถึงไม่กี่บาท และส่วนใหญ่มักจะมีข้อความหวานๆเขียนไว้ตรงที่ปิดผนึกว่า “ยิ้มก่อนอ่านตาหวานก่อนเปิด” เด็กอย่างเราอ่านแล้วอาจจะรีบวิ่งไปอ้วกหรือไม่ก็เขินแทนจนบอกไม่ถูก แต่ความนิยมทุกอย่างก็ย่อมมีการแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ
ย้อนกลับราวๆ 5-6 ปีก่อนที่เริ่มมีโทรศัพท์มือถือบ้างแล้ว แต่แอพพลิเคชั่นมากมายในโทรศัพท์ของเราจะมีมากมายจนเลือกไม่ถูกว่าจะใช้อันไหนดียังไม่เกิดขึ้น การส่ง SMS ดูเหมือนจะเป็นเพียงไม่กี่ช่องทางที่ทำให้เราส่งข้อความไปหาคนรู้ใจได้อย่างสะดวกที่สุด ความนิยมการสรรหาคำหวานๆ นั้นค่อนข้างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นกลอนสั้นๆ คำคล้องจ้องหวานๆ เพราะการกดส่งข้อความ SMS แต่ละครั้งต้องเสียเงิน 2-3 บาท ไม่ฟรีเหมือนทุกวันนี้จึงต้องสรรหาถ้อยคำที่เหมาะสมและดีที่สุดเพื่อคนที่พิเศษที่สุด ตัวอย่างเช่น
“จะบ้าไปถึงไหน ส่ง SMS มาอยู่ได้ …ชอบจัง”
“มีรักมาให้ มีใจมาฝาก แต่หอบมา ลำบาก เพราะมัน มากเหลือเกิน”
“คบคนล้าน 7 แต่ส่ง SMS หาไม่ไหว เลือกเฉพาะคนถูกใจ รู้ใช่ไหมว่าคือ เธอ”
บางครั้งอาจมีการนำบทเพลงมาดัดแปลงเพื่อส่งให้คนที่แอบชอบ ซึ่งจะได้ผลหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วคนที่รับข้อความ SMS หวานๆ มักจะมีอาการไม่ต่างกัน คือยิ้มกว้างจนหุบไม่ลง และในวันนี้หากใครได้รับข้อความ SMS หวานๆ แล้วก็อย่าหาว่าเขาเชยเสียล่ะ เพราะคนพิมพ์เองก็เขินอยู่ไม่ใช่น้อยเช่นกัน